หลากหลายสีสันของกรุงโซล
วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวต่างแดนกันอีกครั้งค่ะ โดยคราวนี้จะไปเยือน "กรุงโซล" เมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ของประเทศเกาหลีใต้ ดินแดนที่ที่รวบรวมเอาความน่าหลงใหลไว้อย่างมากมาย ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ประเพณี วัฒนธรรม หรือธรรมชาติที่งดงาม จากบันทึกการเดินทางของคุณ ที่ได้ไปสัมผัสโซลในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีสุดโรแมนติก พร้อมกับถ่ายทอดความสวยงามเหล่านั้นมาฝากกันค่ะ ^^ ลองไปชมกันเลย
แผนการเดินทางล่าใบไม้เปลี่ยนสี
ตามแผนเที่ยวผมไปทั้งหมด 6 วัน (รวมวันไปและกลับ) โดยเที่ยวที่โซล 4 วัน และบินข้ามไปเที่ยวเกาะเชจู 2 วัน ซึ่งรีวิวขับรถเที่ยวที่เกาะเชจูนั้นจะขอแยกเป็นอีกหนึ่งรีวิวถัดไปนะครับ ^^ ช่วงที่ผมเดินทางไปค่าเงินอยู่ที่ 1,000 KRW = 31 บาท โดยประมาณ
การเดินทางภายในโซล
ใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ประมาณ 5.30 ชั่วโมง ถึงสนามบินนานาชาติอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ตัวเลือกเข้าโซลมีทั้งรถยนต์และรถไฟ ผมเลือกทางรถไฟด้วยเหตุผลสั้น ๆ ดูปากณัชชานะคะ
ที่พำนักเป็นหลักปักฐาน (ที่พัก)
Namsan Guesthouse เป็นตัวเลือกต้น ๆ ที่ผมจองผ่าน Expedia ที่มี code ส่วนลด 10% อยู่ เหตุผลที่ผมเลือกพักที่ Namsan Guesthouse คือ ใกล้รถไฟใต้ดิน, ใกล้ Cable Car ที่ขึ้นไป N Seoul Tower และที่สำคัญใกล้แหล่งช้อปปิ้งเครื่องสำอางอย่างเมียงดง ว้ายยยย กรี๊ดดดด !!! :D

การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Myeong-dong ทางออก 3 เข้าซอยที่มี 7-11 ด้านหน้า

สถานที่ท่องเที่ยวทั้งวัยจ๊าบ !!! และแนวคู่รักโรแมนติกในโซล
เมียงดง (Myeong Dong)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Myeong-dong ทางออก 6, 8 และรถไฟใต้ดินสาย 2 สถานี Euljiro 1 (il)-ga ทางออก 6

ตลาดเมียงดง เป็นแหล่งช้อปปิ้งอันดับต้น ๆ ที่ขาช้อปทั้งหลายรู้จักกันดี แต่ที่นี่ส่วนมากจะเป็นคนไทยไม่ก็คนจีน คนเกาหลีจะบางตาในย่านนี้ ย่านนี้เหมือนสยามบ้านเรา สินค้ามีขายกันตั้งแต่เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ หรือที่สาว ๆ หลายคนใฝ่ฝันตั้งเป้าจะมาที่นี่ให้ได้เพื่อเครื่องสำอางที่มีราคาถูก !!!


ส่วนขนมที่ขายตามร้านข้างทางจะคล้าย ๆ ของบ้านเราบ้างในบางร้าน (ก็เพราะเราไปนำแบบของเขามานี่นา ><)


ย่านนี้ยังมีอาหารเกาหลีขึ้นชื่ออยู่อีกหลายร้าน มื้อนี้ผมขอนำเสนอหมูย่างเกาหลี (ของแท้) ต้องเป็นของแท้แน่นอนเพราะมาทานไกลถึงเกาหลี ร้าน ทน ทแว จี จุดเด่นคือร้านนี้ใช้เตาหินในการย่างหมูทำให้เนื้อหมูสุกเร็ว แต่ราคาแอบแรงไปนิด ><
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Myeong-dong ทางออก 8 เลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่มีร้าน Olive Young อยู่หัวมุม ให้เดินเข้าซอยตรงไปเรื่อย ๆ ผ่านสี่แยกเล็ก ๆ ก่อนถึงร้านจะมี 7-11 อยู่ด้านซ้ายมือ

เนื้อหมูมี 2 ขนาดให้เลือก 200 g กับ 500 g ผมจัดชุดใหญ่เลยครับเพราะ หิวมากกกกกกกกกกกก !!!


อัพกุจอง (Apgujeong)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 สถานี Apgujeong ทางออก 2
เป็นย่านการค้าระดับ Hi-Class มีคลินิก, ห้างดัง, ร้านอาหารชื่อดังมากมาย และเหล่าดาราคนดังชอบมาช้อปปิ้งย่านนี้ ถ้าอยากเจอหนุ่มสาวเกาหลีหน้าตาสวยหล่อคงเป็นย่านนี้สินะ ^^ ย่านนี้ผมแวบมาแป๊บเดียวมาดื่มด่ำบรรยากาศกับร้านสไตล์นั่งชิล ร้านไก่ทอดของบอยแบนด์วง Shinhwa ร้าน Kyochong Chicken เป็นที่น่าสังเกตคนเกาหลีชอบทานไก่ทอดคู่กับเบียร์ครับ ^^ ร้านจะอยู่ตรงข้าม H Prince Hotel ขึ้นจากสถานี Apgujeong เรียก Taxi ต่อมานิดหน่อยราคาประมาณ 3,000 KRW


N Seoul Tower
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Myeong-dong ทางออก 3 เข้าซอยที่มี 7-11 ด้านหน้า เดินผ่าน Namsan Guesthouse ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที เพื่อไปยังจุดขึ้น-ลง Cable Car

ราคา Cable Car เที่ยวเดียว 5,500 KRW ไป-กลับ 8,500 KRW ต่อคน

กำแพงเมืองโซล หรือ Seoul Fortress Wall ถูกสร้างขึ้นตลอดแนวเขาทั้ง 4 ลูก ที่ล้อมรอบกรุงโซลอยู่เพื่อใช้ป้องกันการรุกรานของศัตรูต่างชาติ จะอยู่ใกล้กับสถานีรถกระเช้า เมื่อเดินออกมาจากสถานีให้เลี้ยวขวาเดินลงบันไดเลียบกำแพงไปเรื่อย ๆ

ถ้าผมไม่ได้ถ่ายรูปตรงนี้เท่ากับว่าผมมาไม่ถึงโซลเลยก็ว่าได้ จุดคล้องกุญแจล็อกความรัก จะเห็นกุญแจหลากสีสันถูกคล้องจนแน่นไปหมด คล้องได้แต่อย่าโยนลูกกุญแจลงด้านล่างนะ เพราะ…
1. อาจโดนหัวคนที่เดินอยู่ด้านล่าง
2. สัตว์อาจจะกินเข้าไปและติดคอได้


N Seoul Tower ตั้งอยู่บนยอดเขานัมซาน ถือเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงโซลหรือของเกาหลีเลยก็ว่าได้ เดิมทีสร้างขึ้นเพื่อเป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ จากนั้นจึงเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม มีทั้งร้านอาหารและพิพิธภัณฑ์เทดดี้แบร์อยู่ด้านใน




เกาะนามิ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี (Nami Som)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 1 สถานี Cheongnyangni จากนั้นเดินไปตามป้าย Transfer To Line Jungang จากนั้นถ้าใครอยากไปแบบประหยัดให้นั่งรถไฟสายธรรมดา แต่จะใช้เวลานานกว่ารถไฟแบบด่วน ITX รถไฟประเภทนี้ไม่สามารถใช้บัตร T-Money แตะแล้วไปได้ ต้องซื้อตั๋วที่เครื่องออกตั๋วอัตโนมัติ พร้อมเช็กรอบขบวนก่อนเดินทางผ่านตู้นี้ได้ ใช้เวลาประมาณ 42 นาที ไปลงสถานี Gapyeong จากนั้นจะเดินต่อเพื่อไปยังท่าเรือหรือจะเรียก Taxi ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 KRW

ใช้เวลานั่งเรือข้ามมาเกาะนามิประมาณ 20 นาที อารมณ์เหมือนนั่งเรือข้ามมาเกาะเกร็ด เพราะเกาะนามินั้นตั้งอยู่กลางทะเลสาบชอง-พยอง ไม่ได้ตั้งอยู่กลางทะเล

เกาะนามิหรือเกาะแห่งรัก ตั้งชื่อเกาะตามชื่อของนายพลนามิ เป็นเกาะเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายใบไม้ลอยน้ำ เมื่อก่อนเกาะนี้เป็นที่รู้จักกันเฉพาะคนเกาหลี แต่หลังจากซีรีส์เรื่อง Winter Sonata (เพลงรักในสายลมหนาว) ออกฉาย และสร้างกระแสให้ K-Series เป็นที่รู้จักและโด่งดังในหลายประเทศ เกาะแห่งนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่แห่งรัก ที่หนุ่มสาวรวมถึงครอบครัวต่างหลั่งไหลกันมาเที่ยวอย่างล้นหลาม


ว่ากันว่าในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีไม่มีที่ไหนสวยงามเท่าที่เกาะนามิแห่งนี้ จากที่ได้เห็นกับตาต้องบอกเลยว่าคำกล่าวนั้นเป็นจริง

ใบเมเปิลสีแดง ใบแปะก๊วยสีเหลือง ช่างเป็นช่วงที่โรแมนติกที่สุดเลยก็ว่าได้





คำแนะนำ : ควรมาตั้งแต่เช้าเพราะจะได้หลีกเลี่ยงจากจำนวนคนที่มาก

ส่วนเรือมีให้บริการตั้งแต่เวลา 07.30-21.30 น. ค่าเรือไป-กลับต่อคน 8,000 KRW


เด็ก ๆ เล่นใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมา น่ารักสมวัย

เหมือนถูกสะกดไปอยู่อีกห้วงภวังค์หนึ่ง ถึงแม้ว่าสาย ๆ จะเริ่มมีคนเยอะขึ้น แต่บรรยากาศที่นี่ยังสวยงามเหมือนเดิม


เห็นรูปนี้แล้วอย่านึกว่าผมไปเที่ยวอ่างเก็บน้ำปางอุ๋งมานะครับ ฮ่า ๆๆๆ


ที่นี่มีมุมให้เดินเก็บภาพได้เรื่อย ๆ โดยใช้เวลาประมาณครึ่งวันก็น่าจะเพียงพอกับบรรยากาศที่ฟินแบบนี้


มุมที่ห้ามพลาดเลยเมื่อมาถึงที่นี่ คือ จุดที่มีรูปปั้นของ Bae Yong Joon และ Choi Ji Woo พระเอก-นางเอกของซีรีส์ชื่อดังยืนอยู่

และแนวทิวสนที่เรียงรายสวยงาม


อ๊ะ !!! รูปคู่ธงชาติเกาหลีใต้กับธงชาติไทยกันหน่อยก่อนกลับ

บริเวณท่าเรือมีร้านขายอาหารเกาหลีอยู่หลายร้าน แต่เกือบทุกร้านจะต้องมีเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ นั่นก็คือ ดัก คาลบิ (Dak Galbi) อิ่มท้องกันก่อน ก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวที่อื่นต่อนะครับ ^^

Lotte World-ทะเลสาบซกซอน (Seokchon Lake)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 2, 8 สถานี Jamsil ทางออก 3

เป็นสวนสนุกขนาดกลางที่ถูกเนรมิตขึ้นกลางห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่ย่านเขตเมือง โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ สวนสนุกในร่มและสวนสนุกกลางแจ้ง รอบนี้ผมไม่ได้เข้าไปเล่นในสวนสนุกแค่มาเดินถ่ายรูปด้านนอกริมทะเลสาบ แต่ถ้ามารอบหน้าที่นี่เป็นเป้าหมายหนึ่งที่ผมจะต้องมาเล่นให้ได้ ฮ่า ๆๆ มันดูน่าสนุกดี

Rubber Duck Project โครงการเป็ดเหลืองที่ระบาดไปทั่ว ตั้งอยู่ในทะเลสาบซกซอนแต่อยู่คนละฝั่งกับสวนสนุก Lotte World สามารถเดินลอดทางเดินใต้สะพานมาได้ หรือจะเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินทางออก 2 แล้วเดินตรงมาเรื่อย ๆ

สะพานสายรุ้ง-เกาะลอยน้ำ (Moonlight Rainbow Fountain)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Dongjak ทางออก 1, 2 แล้วต่อ Taxi ไป
คำเตือน : ไม่ควรเดินไปสะพาน เพราะระยะทางที่เดินไปนั้นบอกได้เลยว่าไกลมากกกกกกกก ใช้เวลาเดินแบบเร็วประมาณ 30 นาที (ไม่หยุดพัก)

เกาะลอยน้ำ เป็นเกาะที่ทุ่มทุนสร้างไปกว่า 83 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นศูนย์รวมด้านความบันเทิงและศิลปวัฒนธรรม อยู่ใกล้สะพานสายรุ้ง

สะพานสายรุ้ง เป็นสายน้ำพุที่ปล่อยออกมาจากสะพานบันโพ ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำฮัน เปิดช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม (ช่วงเวลาในการแสดงช่วงละ 15 นาที)
Weekdays : 12.00 น., 20.00 น., 21.00 น.
Weekends : 12.00 น., 17.00 น., 19.30 น. (รอบนี้มีเฉพาะเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเท่านั้น), 20.00 น., 20.30 น., 21.00 น., 21.30 น.

เดินตามแนวถนนเลียบกำแพงหิน ชมใบไม้เปลี่ยนสีข้างพระราชวังด็อกซูกุง
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 1, 2 สถานี City Hall ทางออก 1, 2

เส้นทางนี้ติดอันดับต้น ๆ ในเรื่องของความสวยงามและถนนเลียบกำแพงวังสุดโรแมนติกของกรุงโซลกันเลย อย่างถนนด็อกซูกุงกิล ที่สามารถเดินชื่นชมความเหลืองอร่ามจากต้นแปะก๊วยไปตลอดสองข้างทางในฤดูใบไม้ร่วง


ระหว่างทางจะมีขายของจุกจิกแฮนด์เมดอยู่ตลอดเส้นทาง

ถนนเลียบกำแพงหินนี้จะได้วิวกำแพงหินของพระราชวังด็อกซูกุงทั้งด้านข้างและด้านหลังของวัง ซึ่งหากมาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะเห็นต้นแปะก๊วยปลูกเรียงรายเลียบไปกับความโค้งของถนน และจะสิ้นสุดถนนนี้บริเวณวงเวียนจากนั้นจะเข้าสู่ถนนชองดองกิล


การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 5 สถานี Gwanghwamun ทางออก ออกได้ทุกทาง
เริ่มต้นที่ Cheonggyecheon Stream เดิมเป็นคลองที่ขุดขึ้นเพื่อใช้ระบายน้ำเสีย ต่อมาได้มีโครงการรื้อถอนสิ่งกีดขวางและปรับปรุงภูมิทัศน์จากแหล่งเสื่อมโทรมให้กลายเป็นคลองน้ำใส ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก

เดินมาตรงจัตุรัสจะเห็นรูปปั้นนี้อยู่นั่นก็คือ อนุสาวรีย์แม่ทัพ Yi Sun-sin เป็นผู้นำกองทัพเรือเกาหลีสู้รบชนะกองกำลังญี่ปุ่นที่มีกำลังเหนือกว่ามาก บริเวณรอบ ๆ จะมีการเปิดน้ำพุทุก ๆ ชั่วโมง เริ่ม 08.00-22.00 น. ครั้งละประมาณ 15 นาที (ยกเว้นช่วงฤดูหนาว)

บริเวณกลางจัตุรัสควางฮวามุนจะเห็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระเจ้าเซจงได้อย่างชัดเจน ซึ่งพระเจ้าเซจงทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน ที่ทรงมีความปรีชาสามารถรอบด้าน และทรงเป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์คิดค้นอักษรฮันกึล (Hangeul) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของภาษาเกาหลี

ด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์นี้เป็นพระราชวังเคียงบก เดี๋ยวจะพาไปชมด้านในกัน อดใจรออีกนิด ^^

เดินชิลที่ถนนกัมโกดังกิล-ซัมชองดองกิล (Gamgodang gill-Samcheongdong gill)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 สถานี Anguk ทางออก 1

กัมโกดังกิล ชื่อนี้อาจยังไม่คุ้นหูเท่าไร ความยาวของถนนเส้นนี้ไม่เกิน 1 กิโลเมตร แต่อัดแน่นไปด้วยร้านค้าขายของกระจุกกระจิก ถนนเส้นนี้ยังทะลุไปยังถนนเส้นอื่น ๆ ที่น่าสนใจอย่างซัมชองดองกิลหรือหมู่บ้านบุกชอนฮันอก

ย่านนี้มีร้านค้าเป็นร้านกาแฟและร้านอาหารที่ตกแต่งหน้าร้านได้น่ารักอยู่หลายร้าน ร้านหมูทอดทงคัตสึร้านนี้ไม่มีชื่อภาษาอังกฤษ ผมเห็นว่าคนเต็มร้านเลยเข้าไปลองชิม เมนูเด็ดของทางร้านที่หลาย ๆ โต๊ะต้องสั่งมาทานนั่น ก็คือ ข้าวหมูทอดทงคัตสึสอดไส้ชีสและกิมจิ

ซัมชองดองกิล ถนนเส้นนี้จัดเป็นถนนสายศิลป์เลยก็ว่าได้ มีของจุกจิกน่ารักเก๋ ๆ มีร้านเค้ก ร้านกาแฟตกแต่งน่ารัก ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีถนนเส้นนี้เหลืองอร่ามไปด้วยใบของแปะก๊วย เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักกาแฟเลยทีเดียว


มุมสูงของถนนซัมชองดองกิล

หมู่บ้านวัฒนธรรมโบราณ หมู่บ้านบุกชนฮันอก (Bukchon Hanok Village)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 สถานี Anguk ทางออก 2

เส้นทางเดินชมหมู่บ้านวัฒนธรรมโบราณจะเป็นการเดินขึ้นเนินสูง โดยแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ 31 Gahoe-dong และ 11 Gahoe-dong (ผมเดินชมแค่โซนแรกโซนเดียว) ตลอดสองข้างทางจะได้ซึมซับบรรยากาศของหมู่บ้านเกาหลีสมัยเก่าที่ยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนและสภาพแวดล้อมไว้เกือบจะสมบูรณ์ เนื่องจากหมู่บ้านบุกชนเป็นที่อยู่อาศัยของคนที่นั่นจริง ๆ ดังนั้นจะมีป้าย "โปรดอย่าส่งเสียงดัง" ติดไว้ทั่ว ควรเคารพกฎกันด้วยนะครับ ^^


Bukchon Hanok Village ชุมชนอันเป็นที่อยู่ของชนชั้นสูงในสมัยโชซอน บ้านเรือนมีลักษณะเป็นแบบเกาหลีโบราณหรือที่เรียกว่าฮันอก ถือเป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์

Gahoe-dong Alley จะเป็นมุมที่มองจากบนเนินลงไปเห็นตัวเมืองที่ทันสมัยของกรุงโซล โดยมีบ้านโบราณสองข้างซ้ายขวา

กลุ่มบ้านโบราณที่รวมตัวกันหนาแน่น และอนุรักษ์ไว้ในสภาพดั้งเดิมที่สุด


การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 สถานี Gyeongbokgung ทางออก 5


พระราชวังเคียงบก พระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดและถือเป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์โชซอน เปิดให้เข้าชมเวลา 09.00-18.00 น. (ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) ปิดเวลา 17.00 น. และปิดทุกวันอังคาร ค่าเข้าชมคนละ 3,000 KRW
คำแนะนำ : ถ้าจะมาถ่ายรูปช่วงที่คนไม่เยอะให้มารอตั้งแต่ประตูทางเข้ายังไม่เปิด (ก่อน 09.00 น.) เพราะเมื่อประตูเปิดจะได้เข้าเป็นกลุ่มแรก ๆ


แต่ถ้าใครต้องการความคุ้มค่าและอยากชมความสวยงามของพระราชวังทั้ง 4 แห่ง ที่อยู่ในโซล แนะนำให้ซื้อตั๋วรวม ราคา 10,000 KRW


พระราชวังยังมีพระที่นั่งสำคัญอย่าง คึนชองจอน (Geunjeongjeon) ที่มีความสวยงาม

และพระตำหนักกลางน้ำ (Hyangwongjeong Pavilion) ที่มีต้นไม้พร้อมที่จะผลัดใบเปลี่ยนสีเป็นแบล็คกราวน์อยู่ด้านหลัง

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี (The National Folk Museum of Korea) อยู่ภายในบริเวณพระราชวังเคียงบก ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมา ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม รวมถึงวิถีชีวิตของชาวเกาหลีตั้งแต่สมัยโบราณกาล


ขาออกจะเดินย้อนกลับทางเดินหรือทะลุออกทางด้านหลังของพระราชวังเคียงบกได้เช่นกัน

บริเวณด้านหลังของพระราชวังเคียงบกยังมีอีก 2 สถานที่น่าสนใจอย่าง บลู เฮาส์ (Blue House) หรือทำเนียบประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ และอนุสาวรีย์นกฟีนิกซ์ที่สวนมูกุงฮวา แต่เวลาของผมไม่พอเลยไม่ได้เข้าไปชม ><

บ๊ายบายโซล
6 วัน 5 คืน ช่างผ่านไปเร็วนัก ยังมีอีกหลายสถานที่ในโซลที่ผมยังไม่ได้ไปในครั้ง ไว้โอกาสหน้าจะมาเก็บตกสถานที่ต่าง ๆ ที่ยังไม่เคยไปในครั้งนี้ การเดินทางมาสนามบินอินชองไม่ต่างจากขามา นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Seoul Station จากนั้นต่อรถไฟ AREX เพื่อไปยังสนามบิน เคาน์เตอร์ของสายการบิน AirAsia มี 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งบริการโดย Thai AirAsiaX บินตรงกลับกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) อีกฝั่งหนึ่งเป็น AirAsiaX บินไปกัวลาลัมเปอร์ ดูป้ายตรงช่องทางเข้าเคาน์เตอร์ดี ๆ นะครับ ^^


ขากลับผมเลือกที่นั่ง Quiet Zone ริมหน้าต่างฝั่งขวาเช่นเดียวกับขามา

ไฟลท์ขากลับมีบริการอาหารร้อนบนเครื่องแค่ช่วงเย็นรอบเดียว เริ่มคิดถึงอาหารไทยเลยลองสั่งชุดกระเพราไก่ไข่เจียว ในชุดรวมขนมหวานพุดดิ้งมะพร้าว

บ๊ายบายโซล แล้วจะกลับมาเที่ยวใหม่ในฤดูที่แตกต่าง ^^

เมื่อก่อนประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ผมปฏิเสธที่จะไปเที่ยว เพราะจากหลายต่อหลายเสียงที่บอกผมมาว่าที่นี่ไม่มีอะไร แต่เมื่อผมได้มาสัมผัสเอง ได้มาลองใช้ชีวิตที่ประเทศนี้ 6 วัน 5 คืน ทำให้ได้รู้ถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น (ถึงแม้ยังไม่ลึกซึ้งก็ตาม) ได้เห็นธรรมชาติในเมืองใหญ่ ธรรมชาติที่ยังคงความสวยงามไว้ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามประเทศนี้ผมจะไม่มาเยือนแค่ครั้งนี้ ผมจะกลับมาเที่ยวอีก กลับมาถ่ายรูปไปฝากเพื่อน ๆ แน่นอนครับ ^^
ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณสายการบิน Thai AirAsiaX ที่สนับสนุนการเดินทางบินตรงกรุงเทพฯ (ดอนเมือง)-โซล
ขอบคุณพี่รหัสผู้ใจดีและเพื่อนชาวเกาหลี ที่มาช่วยเลือกช่วยซื้อของในวันก่อนกลับ
ขอบคุณสถานที่สวย ๆ ในฤดูที่แสนจะโรแมนติกฤดูนี้
ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่ช่วยถ่ายรูปผมให้ด้วย 555+
แล้วพบกับรีวิวถัดไป ผมจะพาไปเที่ยวเกาะเชจูแบบเช่ารถขับและปีนเขา Hallasan เขาที่สูงที่สุดในเกาหลีใต้ ติดตามชมกันนะครับ ^^

ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง Message Pantip หรือในเพจของผมก็ได้http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวเที่ยวโซล เกาหลีใต้ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจนจบ…"Autumn in Seoul Autumn in My Heart"